เรื่องของการบวช
บ้านธัมมะ

วันที่ 27 มี.ค. 2549
อ่าน 1336
มีคำถามจากผู้ชมท่านหนึ่งเรื่องการบวชส่งมาทาง email ถึงบ้านธัมมะดังนี้
"ผมได้รับอานิสงฆ์จาก www.dhammahome.com นี้มากมายนัก จากการติดตาม
ศึกษาความรู้พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะด้านพระอภิธรรมมากมายนัก จนกระทั่งปัจจุบัน
นี้ ผมเข้าใจแล้วว่า ธรรมะ คือ อะไร การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ อะไร
ผมจึงอยากจะปรึกษาหารือว่า ถ้าหากผมจะบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ และผมปรารถ-
นาที่จะร่ำเรียนในทิศทางที่อาจารย์สุจินต์ สอนอยู่นี้ ควรจะบวชที่วัดใดได้บ้าง ในกรุง-
เทพฯ หรือในจังหวัดใด กรุณาแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ ด่วนนะครับเพราะผมกำลัง
จะตัดสินบวชในพรรษานี้ ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ"
"ผมได้รับอานิสงฆ์จาก www.dhammahome.com นี้มากมายนัก จากการติดตาม
ศึกษาความรู้พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะด้านพระอภิธรรมมากมายนัก จนกระทั่งปัจจุบัน
นี้ ผมเข้าใจแล้วว่า ธรรมะ คือ อะไร การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ อะไร
ผมจึงอยากจะปรึกษาหารือว่า ถ้าหากผมจะบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ และผมปรารถ-
นาที่จะร่ำเรียนในทิศทางที่อาจารย์สุจินต์ สอนอยู่นี้ ควรจะบวชที่วัดใดได้บ้าง ในกรุง-
เทพฯ หรือในจังหวัดใด กรุณาแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ ด่วนนะครับเพราะผมกำลัง
จะตัดสินบวชในพรรษานี้ ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ"
ความคิดเห็นที่ 1
study
วันที่ 28 มี.ค. 2549
เท่าที่ทราบปัจจุบันตามวัดต่างๆ หลักสูตรที่ทางพระภิกษุท่านเรียนอยู่ คือ หลัก
สูตรนักธรรมตรี โท เอก หลักสูตรบาลีไวยากรณ์ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ วัดบาง
แห่งมีสอนบาลีไวยากรณ์หลักสูตรกัจจายนะ วัดบางแห่งมีสอนพระอภิธรรมบ้าง ถ้า
จะศึกษาพระอภิธรรมตามแนวทางพระไตรปิฎกที่ท่านอาจารย์สุจินต์สอนอยู่ มีการ
ศึกษาที่มูลนิธิฯ หรือจะเป็นการศึกษาจากหนังสือ เทป วิทยุ mp3 ก็ได้
ความคิดเห็นที่ 2
werayut
วันที่ 28 มี.ค. 2549
ในสมัยพุทธกาล มีผู้คนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานั้น พวกท่านได้ฟังธรรม
จนเข้าใจดีแล้ว และได้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียด
เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ จึงต้องการสละความเป็นชาวบ้าน มาบวชเป็นพระภิกษุ ซึ่ง
ท่านเหล่านั้นเข้าใจแล้วว่าไม่ได้หวังอะไรที่เป็นเรื่องทางโลก
สำหรับในยุคสมัยเรา ผู้คนมาบวชกัน ก็เพราะทำตามประเพณี และหวังได้บุญ ก็
กระทำต่อๆ กันมา ผู้คนจำนวนมากเข้ามาบวชโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมาก่อน
เวลาเป็นพระภิกษุ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการประพฤติปฏิบัติ ให้อยู่ในระเบียบของความ
เป็นสงฆ์ที่พระวินัยบัญญัติไว้ อาจจะเพราะทำไม่ได้และเพราะความไม่รู้
กาลเวลาล่วงเลย โลกและวิถีชีวิตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป แต่พระธรรมวินัย หรือ
ศีล 227 ข้อ ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องยึดถือปฎิบัติยังคงเดิม ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ ใน
ยุคสมัยนี้ มีการติดต่อค้าขายและวิทยาการก้าวหน้าที่เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้อง
การของคน ซึ่งสวนทางกับการละคลาย หลายสิ่งหลายอย่างขัดต่อพระธรรมวินัยอย่าง
ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้พระภิกษุจะพยายามรักษาพระวินัยแต่อาจถูกสภาพแวดล้อม
หรือญาติโยมที่ไม่รู้พระวินัยบีบบังคับหรือชักจูงให้ผิดไปได้โดยไม่รู้ตัวนะครับ เช่น การ
ใช้เงิน การอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ ใช้โทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต อย่าอ้างเหตุผล
ใดๆ เลยครับ ผิดทั้งนั้นแหละ
ขอแนะนำว่าก่อนที่จะบวช ต้องศึกษาพระธรรมวินัย และศีล 227 ข้อ ดูว่าเข้าใจ
และมั่นใจว่า จะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า ถ้ามั่นใจ จะบวชที่ไหนก็ได้ครับที่สะดวกกับ
เรา ถ้าไม่มั่นใจแล้วไปกระทำผิดภายหลัง อกุศลก็อาจมีมากกว่าศึกษาฟังธรรมอยู่ใน
เพศฆราวาส ถูกไหมครับ
ขออนุโมทนาในศรัทธาของคุณนะครับ สำหรับวัดไหนเหมาะสม คุณจะทราบ
เองครับหลังจากเข้าใจพระวินัย เพราะวัดที่สอนถูกต้องก็จะสอนแบบเดียวกับที่ท่าน
อาจารย์สุจินต์สอนครับ คือถูกต้องตามพระไตรปิฎก ซึ่งทุกวัดน่าจะสอนแบบนั้น หากมี
การเบี่ยงเบน หรือปะปนความเห็นของผู้สอน หรือหวังเอาประโยชน์อื่นๆ ก็จะไม่ตรงกับ
ในพระวินัยครับ
เรื่องที่ต้องรีบด่วนคงไม่ใช่รีบไปบวชหรอกครับ ต้องรีบศึกษาให้เห็นโทษของ
อกุศล ฟังธรรมะที่บ้านธัมมะนี่แหละครับ ผมรับรองว่าถูกทางแล้ว ถ้าไม่มีบุญสะสมไว้
เก่าไม่ได้มาถึงตรงนี้หรอกครับ
จนเข้าใจดีแล้ว และได้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียด
เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ จึงต้องการสละความเป็นชาวบ้าน มาบวชเป็นพระภิกษุ ซึ่ง
ท่านเหล่านั้นเข้าใจแล้วว่าไม่ได้หวังอะไรที่เป็นเรื่องทางโลก
สำหรับในยุคสมัยเรา ผู้คนมาบวชกัน ก็เพราะทำตามประเพณี และหวังได้บุญ ก็
กระทำต่อๆ กันมา ผู้คนจำนวนมากเข้ามาบวชโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมาก่อน
เวลาเป็นพระภิกษุ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการประพฤติปฏิบัติ ให้อยู่ในระเบียบของความ
เป็นสงฆ์ที่พระวินัยบัญญัติไว้ อาจจะเพราะทำไม่ได้และเพราะความไม่รู้
กาลเวลาล่วงเลย โลกและวิถีชีวิตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป แต่พระธรรมวินัย หรือ
ศีล 227 ข้อ ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องยึดถือปฎิบัติยังคงเดิม ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ ใน
ยุคสมัยนี้ มีการติดต่อค้าขายและวิทยาการก้าวหน้าที่เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้อง
การของคน ซึ่งสวนทางกับการละคลาย หลายสิ่งหลายอย่างขัดต่อพระธรรมวินัยอย่าง
ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้พระภิกษุจะพยายามรักษาพระวินัยแต่อาจถูกสภาพแวดล้อม
หรือญาติโยมที่ไม่รู้พระวินัยบีบบังคับหรือชักจูงให้ผิดไปได้โดยไม่รู้ตัวนะครับ เช่น การ
ใช้เงิน การอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ ใช้โทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต อย่าอ้างเหตุผล
ใดๆ เลยครับ ผิดทั้งนั้นแหละ
ขอแนะนำว่าก่อนที่จะบวช ต้องศึกษาพระธรรมวินัย และศีล 227 ข้อ ดูว่าเข้าใจ
และมั่นใจว่า จะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า ถ้ามั่นใจ จะบวชที่ไหนก็ได้ครับที่สะดวกกับ
เรา ถ้าไม่มั่นใจแล้วไปกระทำผิดภายหลัง อกุศลก็อาจมีมากกว่าศึกษาฟังธรรมอยู่ใน
เพศฆราวาส ถูกไหมครับ
ขออนุโมทนาในศรัทธาของคุณนะครับ สำหรับวัดไหนเหมาะสม คุณจะทราบ
เองครับหลังจากเข้าใจพระวินัย เพราะวัดที่สอนถูกต้องก็จะสอนแบบเดียวกับที่ท่าน
อาจารย์สุจินต์สอนครับ คือถูกต้องตามพระไตรปิฎก ซึ่งทุกวัดน่าจะสอนแบบนั้น หากมี
การเบี่ยงเบน หรือปะปนความเห็นของผู้สอน หรือหวังเอาประโยชน์อื่นๆ ก็จะไม่ตรงกับ
ในพระวินัยครับ
เรื่องที่ต้องรีบด่วนคงไม่ใช่รีบไปบวชหรอกครับ ต้องรีบศึกษาให้เห็นโทษของ
อกุศล ฟังธรรมะที่บ้านธัมมะนี่แหละครับ ผมรับรองว่าถูกทางแล้ว ถ้าไม่มีบุญสะสมไว้
เก่าไม่ได้มาถึงตรงนี้หรอกครับ
ความคิดเห็นที่ 3
chatchai.k
วันที่ 28 มี.ค. 2549
ศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาเพื่ออะไร
พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนให้เกิดปัญญา เพราะว่าเป็นคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้
เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ฟังได้มีโอกาสฟัง ก็สามารถจะเข้าใจได้ว่า ขณะที่ฟังมีความเห็นถูก
มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง มากน้อยแค่ไหน หรือว่าขณะนั้นมีความ
ต้องการอย่างอื่น คือ ต้องการที่จะทำ ต้องการที่จะเห็น ต้องการที่จะรู้ โดยที่ไม่ทราบ
เลยว่าขณะนั้น ไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นโลภะ ในชีวิตประจำวันที่เราใช้คำต่างๆ เช่น คำ
ว่า สติกับปัญญา เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจแล้ว พอพูดถึงสติ ก็ดูเหมือนเข้าใจ พูดถึง
ปัญญาก็เหมือนเข้าใจ แต่ว่าไม่ตรงกับสภาพธรรมเพราะว่า ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็น
สติ ต้องเป็นโสภณธรรมฝ่ายดี จะเกิดกับอกุศลไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะที่ทำอะไร
เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ฟังได้มีโอกาสฟัง ก็สามารถจะเข้าใจได้ว่า ขณะที่ฟังมีความเห็นถูก
มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง มากน้อยแค่ไหน หรือว่าขณะนั้นมีความ
ต้องการอย่างอื่น คือ ต้องการที่จะทำ ต้องการที่จะเห็น ต้องการที่จะรู้ โดยที่ไม่ทราบ
เลยว่าขณะนั้น ไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นโลภะ ในชีวิตประจำวันที่เราใช้คำต่างๆ เช่น คำ
ว่า สติกับปัญญา เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจแล้ว พอพูดถึงสติ ก็ดูเหมือนเข้าใจ พูดถึง
ปัญญาก็เหมือนเข้าใจ แต่ว่าไม่ตรงกับสภาพธรรมเพราะว่า ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็น
สติ ต้องเป็นโสภณธรรมฝ่ายดี จะเกิดกับอกุศลไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะที่ทำอะไร
ด้วยความติดข้อง พอใจ ตั้งอกตั้งใจทำ แล้วคิดว่าขณะนั้นเป็นสติ ไม่ถูกต้อง เพราะ
ว่าถ้าเป็นสติต้องเป็นโสภณ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน สติจะเกิดกับจิตที่เป็นกุศล
นี่เป็นคร่าวๆ แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด สติเป็นโสภณย่อมเกิดกับจิตประเภทอื่นหรือ
ชาติอื่น เช่น วิบาก ผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบากหรือว่าเป็นกิริยาจิตก็ได้ แต่การศึกษา
โดยละเอียด จะทำให้เราเริ่มเข้าใจถูก มีความเห็นถูกว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง อาศัย
การฟัง และขณะที่ฟังก็ต้องฟังด้วยดี ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง สามารถ
ที่จะพิจารณาได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือไม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้น ไม่ใช่
คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าถูกต้อง หมายความว่า ตรงต่อสภาพ
ธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แล้วการฟัง คือ การศึกษาแต่ละครั้ง ก็จะทำให้
เข้าใจธรรมขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ใช่
เราจะไปทำ แต่เพราะปัญญามีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้น ก็
เป็นปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ ที่จะทำให้สติอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นเป็นสติปัฏฐาน
ว่าถ้าเป็นสติต้องเป็นโสภณ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน สติจะเกิดกับจิตที่เป็นกุศล
นี่เป็นคร่าวๆ แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด สติเป็นโสภณย่อมเกิดกับจิตประเภทอื่นหรือ
ชาติอื่น เช่น วิบาก ผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบากหรือว่าเป็นกิริยาจิตก็ได้ แต่การศึกษา
โดยละเอียด จะทำให้เราเริ่มเข้าใจถูก มีความเห็นถูกว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง อาศัย
การฟัง และขณะที่ฟังก็ต้องฟังด้วยดี ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง สามารถ
ที่จะพิจารณาได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือไม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้น ไม่ใช่
คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าถูกต้อง หมายความว่า ตรงต่อสภาพ
ธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แล้วการฟัง คือ การศึกษาแต่ละครั้ง ก็จะทำให้
เข้าใจธรรมขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ใช่
เราจะไปทำ แต่เพราะปัญญามีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้น ก็
เป็นปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ ที่จะทำให้สติอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นเป็นสติปัฏฐาน
การอยู่ในเพศฆราวาส ก็สามารถศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน ใน
ครั้งพุทธกาล มีฆราวาสมากมายที่เมื่อฟังพระธรรมแล้ว บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้น
ต่างๆ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านวิสาขามิคารมาตา ทั้งสองท่านนี้ได้บรรลุ
เป็นพระโสดาบันบุคคล ส่วนท่านจิตตคฤหบดี ท่านฟังธรรมแล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระ
อนาคามีบุคคล ทั้งสามท่านเป็นคหบดีมั่งคั่ง มีครอบครัว ใช้ชีวิตเป็นปกติ แต่ท่านฟัง
ธรรมและศึกษาธรรมะ จนมีความเข้าใจและสามารถบรรลุธรรมตามระดับขั้นของปัญญา
ของแต่ละท่าน
ครั้งพุทธกาล มีฆราวาสมากมายที่เมื่อฟังพระธรรมแล้ว บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้น
ต่างๆ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านวิสาขามิคารมาตา ทั้งสองท่านนี้ได้บรรลุ
เป็นพระโสดาบันบุคคล ส่วนท่านจิตตคฤหบดี ท่านฟังธรรมแล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระ
อนาคามีบุคคล ทั้งสามท่านเป็นคหบดีมั่งคั่ง มีครอบครัว ใช้ชีวิตเป็นปกติ แต่ท่านฟัง
ธรรมและศึกษาธรรมะ จนมีความเข้าใจและสามารถบรรลุธรรมตามระดับขั้นของปัญญา
ของแต่ละท่าน
ความคิดเห็นที่ 5
khampan.a
วันที่ 6 เม.ย. 2549
ชีวิตของเพศบรรพชิตเป็นเพศที่จะต้องขัดเกลาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็แล้วแต่อัธยาศัย
ของแต่ละบุคคล เพราะคนเราสั่งสมมาแตกต่างกัน ในยุคปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็น
บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะศึกษาธรรมได้เหมือนๆ กัน
ความคิดเห็นที่ 6
khampan.a
วันที่ 6 เม.ย. 2549
แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ
นั้น ก็มีทั้งเพศบรรพชิต และเพศคฤหัสถ์