วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บ้านธรรมะ

เรื่องของการบวช
บ้านธัมมะ
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2549
อ่าน 1336
      มีคำถามจากผู้ชมท่านหนึ่งเรื่องการบวชส่งมาทาง email ถึงบ้านธัมมะดังนี้

"ผมได้รับอานิสงฆ์จาก  
www.dhammahome.com   นี้มากมายนัก จากการติดตาม

ศึกษาความรู้พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะด้านพระอภิธรรมมากมายนัก จนกระทั่งปัจจุบัน

นี้ ผมเข้าใจแล้วว่า   ธรรมะ คือ อะไร    การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ อะไร  

        ผมจึงอยากจะปรึกษาหารือว่า ถ้าหากผมจะบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์  และผมปรารถ-

นาที่จะร่ำเรียนในทิศทางที่อาจารย์สุจินต์ สอนอยู่นี้  ควรจะบวชที่วัดใดได้บ้าง ในกรุง-

เทพฯ หรือในจังหวัดใด   กรุณาแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ ด่วนนะครับเพราะผมกำลัง

จะตัดสินบวชในพรรษานี้   ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ"
 



ความคิดเห็นที่ 1
 
study
วันที่ 28 มี.ค. 2549
      เท่าที่ทราบปัจจุบันตามวัดต่างๆ   หลักสูตรที่ทางพระภิกษุท่านเรียนอยู่    คือ หลัก
สูตรนักธรรมตรี  โท  เอก     หลักสูตรบาลีไวยากรณ์ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙    วัดบาง
แห่งมีสอนบาลีไวยากรณ์หลักสูตรกัจจายนะ   วัดบางแห่งมีสอนพระอภิธรรมบ้าง      ถ้า
จะศึกษาพระอภิธรรมตามแนวทางพระไตรปิฎกที่ท่านอาจารย์สุจินต์สอนอยู่         มีการ
ศึกษาที่มูลนิธิฯ  หรือจะเป็นการศึกษาจากหนังสือ  เทป  วิทยุ  mp3  ก็ได้
 
  

ความคิดเห็นที่ 2
 
werayut
วันที่ 28 มี.ค. 2549
         ในสมัยพุทธกาล มีผู้คนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานั้น    พวกท่านได้ฟังธรรม

จนเข้าใจดีแล้ว     และได้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน   ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียด

เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์   จึงต้องการสละความเป็นชาวบ้าน  มาบวชเป็นพระภิกษุ  ซึ่ง

ท่านเหล่านั้นเข้าใจแล้วว่าไม่ได้หวังอะไรที่เป็นเรื่องทางโลก

         สำหรับในยุคสมัยเรา ผู้คนมาบวชกัน ก็เพราะทำตามประเพณี และหวังได้บุญ  ก็

กระทำต่อๆ กันมา       ผู้คนจำนวนมากเข้ามาบวชโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมาก่อน

เวลาเป็นพระภิกษุ   ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการประพฤติปฏิบัติ ให้อยู่ในระเบียบของความ

เป็นสงฆ์ที่พระวินัยบัญญัติไว้     อาจจะเพราะทำไม่ได้และเพราะความไม่รู้

          กาลเวลาล่วงเลย โลกและวิถีชีวิตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป  แต่พระธรรมวินัย  หรือ

ศีล 227 ข้อ ที่พระภิกษุสงฆ์ต้องยึดถือปฎิบัติยังคงเดิม ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้  ใน

ยุคสมัยนี้    มีการติดต่อค้าขายและวิทยาการก้าวหน้าที่เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้อง

การของคน  ซึ่งสวนทางกับการละคลาย หลายสิ่งหลายอย่างขัดต่อพระธรรมวินัยอย่าง

ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้   ถึงแม้พระภิกษุจะพยายามรักษาพระวินัยแต่อาจถูกสภาพแวดล้อม

หรือญาติโยมที่ไม่รู้พระวินัยบีบบังคับหรือชักจูงให้ผิดไปได้โดยไม่รู้ตัวนะครับ  เช่น การ

ใช้เงิน การอ่านหนังสือพิมพ์  ดูโทรทัศน์  ใช้โทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต อย่าอ้างเหตุผล

ใดๆ เลยครับ  ผิดทั้งนั้นแหละ

         ขอแนะนำว่าก่อนที่จะบวช ต้องศึกษาพระธรรมวินัย และศีล 227 ข้อ   ดูว่าเข้าใจ

และมั่นใจว่า   จะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า   ถ้ามั่นใจ  จะบวชที่ไหนก็ได้ครับที่สะดวกกับ

เรา  ถ้าไม่มั่นใจแล้วไปกระทำผิดภายหลัง     อกุศลก็อาจมีมากกว่าศึกษาฟังธรรมอยู่ใน

เพศฆราวาส ถูกไหมครับ

          ขออนุโมทนาในศรัทธาของคุณนะครับ   สำหรับวัดไหนเหมาะสม   คุณจะทราบ

เองครับหลังจากเข้าใจพระวินัย      เพราะวัดที่สอนถูกต้องก็จะสอนแบบเดียวกับที่ท่าน

อาจารย์สุจินต์สอนครับ คือถูกต้องตามพระไตรปิฎก ซึ่งทุกวัดน่าจะสอนแบบนั้น  หากมี

การเบี่ยงเบน หรือปะปนความเห็นของผู้สอน  หรือหวังเอาประโยชน์อื่นๆ ก็จะไม่ตรงกับ

ในพระวินัยครับ
          เรื่องที่ต้องรีบด่วนคงไม่ใช่รีบไปบวชหรอกครับ     ต้องรีบศึกษาให้เห็นโทษของ

อกุศล ฟังธรรมะที่บ้านธัมมะนี่แหละครับ   ผมรับรองว่าถูกทางแล้ว   ถ้าไม่มีบุญสะสมไว้

เก่าไม่ได้มาถึงตรงนี้หรอกครับ
 
  

ความคิดเห็นที่ 3
 
chatchai.k
วันที่ 28 มี.ค. 2549
ศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาเพื่ออะไร
          พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนให้เกิดปัญญา     เพราะว่าเป็นคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้

เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ฟังได้มีโอกาสฟัง  ก็สามารถจะเข้าใจได้ว่า  ขณะที่ฟังมีความเห็นถูก

มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง   มากน้อยแค่ไหน     หรือว่าขณะนั้นมีความ

ต้องการอย่างอื่น  คือ  ต้องการที่จะทำ  ต้องการที่จะเห็น ต้องการที่จะรู้  โดยที่ไม่ทราบ

เลยว่าขณะนั้น  ไม่ใช่ปัญญา  แต่เป็นโลภะ  ในชีวิตประจำวันที่เราใช้คำต่างๆ เช่น  คำ

ว่า สติกับปัญญา เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจแล้ว  พอพูดถึงสติ ก็ดูเหมือนเข้าใจ   พูดถึง

ปัญญาก็เหมือนเข้าใจ  แต่ว่าไม่ตรงกับสภาพธรรมเพราะว่า  ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็น

สติ  ต้องเป็นโสภณธรรมฝ่ายดี จะเกิดกับอกุศลไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น  ขณะที่ทำอะไร
ด้วยความติดข้อง พอใจ  ตั้งอกตั้งใจทำ  แล้วคิดว่าขณะนั้นเป็นสติ ไม่ถูกต้อง    เพราะ

ว่าถ้าเป็นสติต้องเป็นโสภณ  เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน  สติจะเกิดกับจิตที่เป็นกุศล

นี่เป็นคร่าวๆ       แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด สติเป็นโสภณย่อมเกิดกับจิตประเภทอื่นหรือ

ชาติอื่น เช่น  วิบาก ผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบากหรือว่าเป็นกิริยาจิตก็ได้ แต่การศึกษา

โดยละเอียด  จะทำให้เราเริ่มเข้าใจถูก  มีความเห็นถูกว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง  อาศัย

การฟัง   และขณะที่ฟังก็ต้องฟังด้วยดี ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง สามารถ

ที่จะพิจารณาได้ว่า   สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือไม่  ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง   อันนั้น ไม่ใช่

คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า    แต่ถ้าถูกต้อง  หมายความว่า ตรงต่อสภาพ

ธรรมที่
กำลังปรากฏตามความเป็นจริง    แล้วการฟัง คือ การศึกษาแต่ละครั้ง ก็จะทำให้

เข้าใจธรรมขึ้น    ปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ   จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐาน    ซึ่งไม่ใช่

เราจะไปทำ   แต่เพราะปัญญามีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ   เพราะฉะนั้น   ก็

เป็นปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ ที่จะทำให้
สติอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นเป็นสติปัฏฐาน
         การอยู่ในเพศฆราวาส  ก็สามารถศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน  ใน

ครั้ง
พุทธกาล    มีฆราวาสมากมายที่เมื่อฟังพระธรรมแล้ว    บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้น

ต่างๆ เช่น 
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านวิสาขามิคารมาตา  ทั้งสองท่านนี้ได้บรรลุ

เป็นพระโสดาบันบุคคล  
ส่วนท่านจิตตคฤหบดี ท่านฟังธรรมแล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระ

อนาคามีบุคคล  ทั้งสามท่านเป็น
คหบดีมั่งคั่ง  มีครอบครัว  ใช้ชีวิตเป็นปกติ แต่ท่านฟัง

ธรรมและศึกษาธรรมะ  จนมีความเข้าใจและ
สามารถบรรลุธรรมตามระดับขั้นของปัญญา

ของแต่ละท่าน
 
  

ความคิดเห็นที่ 5
 
khampan.a
วันที่ 6 เม.ย. 2549
      ชีวิตของเพศบรรพชิตเป็นเพศที่จะต้องขัดเกลาเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งก็แล้วแต่อัธยาศัย
ของแต่ละบุคคล    เพราะคนเราสั่งสมมาแตกต่างกัน         ในยุคปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็น
บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะศึกษาธรรมได้เหมือนๆ กัน
 
  

ความคิดเห็นที่ 6
 
khampan.a
วันที่ 6 เม.ย. 2549
      แม้แต่ในสมัยพุทธกาล         ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ
 นั้น  ก็มีทั้งเพศบรรพชิต  และเพศคฤหัสถ์

จุดหมุ่งหมายของการบวช

จุดมุ่งหมายของการบวชที่เคยอ่านพบในพระไตรปิฎกได้มีดังนี้ค่ะ 

พรหมจริยสูตร

[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวง
ประชาชนก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ
สักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็
หามิได้ เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้ 
โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ
เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์อันเป็น
การละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน เพื่อ
สังวร เพื่อละ หนทางนี้อันท่านผู้ใหญ่ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่
ดำเนินไปแล้ว อนึ่ง ชนเหล่าใดย่อมดำเนินไปสู่ทางนั้น
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำตาม
คำสั่งสอนของศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ
จบสูตรที่ ๕

ที่มา พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
คลิกเพื่ออ่านอธิบายอรรถกถา

อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา

"ด้วยประการฉะนี้แหละพราหมณ์ พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภสักการะชื่อเสียงเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบอันใด พรหมจรรย์นี้ มีความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบนั้นแหละเป็นที่ต้องการ นั้นเป็นแก่นสาร นั้นเป็นที่สุดโดยรอบ"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ปิงคลโกจฉพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต.

จูฬสาโรปมสูตร ๑๒/๓๗๔ 

ที่มา ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: พระไตรปิฎกฉบับประชาชน

นาคคือ

นาคคืออะไร?

หลังจากที่ผมกำหนดวันบวชกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปก็แค่เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ช่วงนี้ผมจะได้สมญานามใหม่ครับ คือ "นาคอุ๊ย"
"นาค" ในที่นี้ไม่ใช่นาคแบบสิงโตทะเลที่จะมาว่ายน้ำแล้วก็เอาปากเดาะบอลอะไรอย่างนั้นนะครับ
แต่ "นาค" คือคำเรียกชายหนุ่มที่กำลังจะบวชเป็นพระ แปลตามตัวว่าผู้ประเสริฐหรือผู้ที่ไม่ทำบาป
คำว่านาคนี่ก็มีที่มานะครับ
เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยพุทธกาลมีพญานาคตนหนึ่งที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์มาขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ไป ๆ มา ๆ มีพระภิกษุรูปหนึ่งไปรู้ความจริงเข้าจึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงสั่งให้พญานาคตนนั้นสึก
พญานาคตนนั้นเสียใจมากที่ไม่ได้บวช เลยขอไว้ว่าให้เรียกคนที่กำลังจะบวชว่า "นาค" 
จึงมีคำว่านาคมาจนถึงทุกวันนี้
จริง ๆ แล้วคนที่จะบวชได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้นนะครับ
ตอนพิธีบวช พระอุปัชฌาย์จะถามเราว่า "มนุสโส ซิ" แปลว่า "เธอเป็นคนรึเปล่า" (แบบเพลงของบุดด้าเบสน่ะ) 
เราก็ต้องตอบว่า "อามะ ภันเต" แปลว่า "เป็นครับ ท่าน"
ที่มาของคำว่านาคก็ประมาณนี้
ต่อไปก็จะเป็น 5 ขั้นตอนเตรียมตัวสู่ความเป็นนาค 



1. ท่องขานนาค

ขานนาคคือบทสวดเพื่อขออุปสมบท หน้าที่เราก็คือต้องท่องจำบทสวดนี้ให้ได้อย่างแม่นยำ เพื่อที่ว่าวันจริงจะได้ท่องได้โดยไม่อายญาติโยม
การบวชในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบบ (มั้งครับ)
แบบแรกเป็นแบบ "เอสาหัง" เหมือนของวัดที่ผมบวช ส่วนอีกแบบจะเป็นแบบ "อุกาสะ" ซึ่งเป็นของมหานิกาย 
บทสวดนี้ยาวเหมือนกัน ต้องใช้ความพยายามพอสมควรกว่าจะท่องได้
จำได้ว่าตอนนั้นผมก็ท่องแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนกัน ก่อนนอนผมท่อง 3 ครั้ง ตื่นมาท่องอีก สาย ๆ ท่องอีก ท่องมันทั้งวัน ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตามที่ได้ตั้งใจไว้
แม้ว่าบางวัดอาจไม่ได้เคร่งครัดว่านาคจะต้องท่องได้เป๊ะ ๆ แต่ผมว่าเราก็น่าจะท่องให้ได้นะครับ
งานบวชนี้เราก็เป็นพระเอกทั้งที (แถมไม่มีนางเอกหรือพระรองด้วย ฉายเดี่ยวอยู่คนเดียวเลยล่ะ) ทุกสายตาทั้งพระทั้งโยมต่างจ้องมองเราเป็นจุดเดียว
จะไปนั่งเอ่อ อ่า อ้ำ อึ้ง ตะกุกตะกักในโบสถ์ก็ดูไม่งาม
หรือจะไปติดสคริปหลังตาลปัตรก็ใช่ที่ ญาติโยมคงเสื่อมศรัทธากันตั้งแต่ยังไม่ได้ห่มผ้าเหลือง
ดังนั้นผมว่านาคควรเตรียมตัวดี ๆ
เกิดเป็นลูกผู้ชาย มีงานบวชแค่ครั้งเดียว ท่องให้คล่อง ๆ เอาให้เท่ ๆ เอาให้กรี๊ดกันทั้งอุโบสถเลยแล้วกันเนอะ



2. ตรวจร่างกาย + เซ็นใบสมัคร

การสมัครงานต้องมีการตรวจร่างกายและเซ็นใบสมัครฉันใด การสมัครบวชก็ต้องมีฉันนั้น
การตรวจร่างกายมีไว้เพื่อดูว่า เราเป็นโรคติดต่อร้ายแรงอะไรรึเปล่า
ไม่ใช่ว่านาคเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แล้วบวชเข้าไป คงติดไข้กันตั้งแต่เจ้าอาวาสยันเด็กวัด  
บาปเราอีก 55+
ส่วนที่ต้องมีใบสมัครก็เพราะว่าเราต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครองถึงจะบวชได้
พอเซ็นใบสมัครแล้ว เราก็เตรียมตัวย้ายมาอยู่กับวัดต้นสังกัดได้เลย (เฮ้ย ไม่ใช่ทีมฟุตบอล)



3. เตรียมเครื่องบวช

จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเครื่องบวชมากนัก เพราะว่ามีคุณป้าที่เชี่ยวชาญเรื่องงานบวชเป็นคนจัดให้หมดเลย
เท่าที่ผมเห็นก็จะมีพวกดอกไม้ ธูป เทียน มุ้ง หมอน เสื่อ ตาลปัตร พัดลม ผ้าเช็ดตัว จาน ช้อนส้อม 
แล้วก็มีพวกเครื่องอาบน้ำ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ ยาสระผม ครีมนวดผม?
ล้อเล่นครับ ครีมนวดผมไม่ต้องนะครับ มันไม่มีให้นวดหรอก 55+
แต่ยาสระผมก็ควรมี เพราะพระปลงผมเดือนละครั้ง (หรือสองครั้ง) ดังนั้นจะมีช่วงที่ผมเป็นแบบสกินเฮด ให้เราสระผมได้บ้าง 
อุปกรณ์ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมครับ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่สิ่งที่พระขาดไม่ได้จริง ๆ ก็คือเครื่อง "อัฏฐบริขาร" หรือ "เครื่องใช้ทั้ง 8"
ของทั้ง 8 อย่างนี้มีอะไรบ้าง?
ตอนเด็ก ๆ ผมเคยท่องว่า "ผ้า 4 เหล็ก 3 น้ำ 1" รวมกันเป็น 8
ผ้า 4 ได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง (ส่วนล่าง)) จีวร (ผ้าห่ม (ส่วนบน)) สังฆาฏิ (ผ้าพาดไหล่) และประคดเอว (เป็นคล้าย ๆ เข็มขัด ทำให้สบงรัดกุมขึ้น)
ผ้าทั้ง 4 นี้เป็นเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มของพระสงฆ์
ส่วนเหล็ก 3 ได้แก่ บาตร มีดโกน (ไว้ปลงผม) และเข็มเย็บผ้า (เผื่อสะดุดล้ม จีวรขาด)
น้ำ 1 คือ ที่กรองน้ำ (เป็นกรวย มีผ้าขาวบางไว้กรองน้ำด้านหนึ่ง)
ผมเองไม่เคยได้ใช้ที่กรองน้ำเลย เพราะสมัยนี้มีน้ำประปาหรือน้ำขวดที่ผ่านการกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นที่กรองน้ำนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำคัญเท่าไร
แต่สมัยก่อนพระอยู่ป่าอยู่เขาต้องฉันน้ำในแม่น้ำลำคลอง ดังนั้นจึงต้องกรองน้ำก่อนฉันทุกครั้งเพื่อกรองพวกสัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่ในน้ำออกไปก่อน ("กรองน้ำก่อนฉัน" นี่ผมหมายถึงกรองน้ำก่อนกินนะ ไม่ใช่ว่าเธอกรองน้ำก่อนฉัน ฉันกรองน้ำทีหลังเธออะไรอย่างนั้น - -")
เครื่องกรองน้ำนี่ไม่ต้องจริงจังอะไรมากนะครับ ไม่ต้องถึงกับไปซื้อเครื่องกรองน้ำแอมเวย์มาถวาย
มันเกินไปจริง ๆ 55+ 



4. ขอขมาลาโทษ

อีกภารกิจหนึ่งที่นาคพึงกระทำก่อนจะบวชนั่นก็คือการขอขมาลาโทษ
ช่วงนี้จะต้องทำตัวเหมือนพี่บี้เดินสายออกคอนเสิร์ต คือต้องออกเดินสายขอขมาลาบวชบรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เราอาจเคยล่วงเกินไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
บุคคลดังกล่าวได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย แฟนเก่า ฯลฯ (โดยเฉพาะแฟนเก่า ตัวหนักเลยล่ะ 55+)
ขอขมาให้เขาอโหสิกรรมสิ่งที่เราเคยล่วงเกินไว้ การบวชของเราจะได้บริสุทธิผุดผ่อง
ช่วงการกราบลาพ่อแม่จะเป็นช่วงเวลาดราม่ามาก ซึ้งยังกะดูซีรี่ส์เกาหลี ดังนั้นอย่าลืมจดจำช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้นะครับ เราจะรู้ว่าพ่อแม่รักเรามากแค่ไหน



5. ระวังมารผจญ

มีคำขู่ไว้แต่โบร่ำโบราณว่า "ก่อนบวชให้ระวังตัวไว้ให้ดี จะมีมารมาผจญ"
ก่อนบวช 3 วัน ผมต้องอยู่บ้านโดยไม่ได้ไปไหนเลยเพราะพ่อแม่กลัวมารมาผจญจัด
สำหรับผม ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็นมากกว่า
โอกาสของการเกิดอุบัติเหตุของช่วงก่อนบวช ก็น่าจะเท่า ๆ กับช่วงอื่นแหละ
แต่ส่วนใหญ่ ก่อนจะบวช นาคและผองเพื่อนมักจะไปเมาเหล้าทิ้งท้ายการเป็นฆราวาสกัน
พอไม่มีสติ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะมีมากขึ้น แค่นั้นเอง
ผมว่าไม่เกี่ยวกับก่อนบวชหรือหลังบวชหรอก อยู่ที่ว่าเรามีสติหรือไม่มีสติมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม "ไม่ประมาท" ดีที่สุดเนอะ
แล้วทราบมั้ยครับว่า "มารผจญ" ที่สำคัญของบรรดาพระใหม่คืออะไร
คำตอบคือ "ผู้หญิง" ครับ
ผมเห็นมาเยอะครับ เพื่อนพระที่ต้องสึกไปเพราะว่าสีกางอนหรือมาตื้อว่าให้สึกได้แล้ว อะไรประมาณนี้
ก่อนจะบวช ปรับความเข้าใจกับว่าที่สีกาดี ๆ นะครับ ว่าสึกเมื่อไร รอหน่อยได้มั้ย ฯลฯ
ไม่งั้นอาจจะมีพระอาจจะมีกิจ (งานเข้า)ได้
โบราณบอกไว้ว่า "สตรีคือศัตรู"
สมัยนี้คงต้องเรียกว่า "ผู้หญิงคือมารผจญตัวแม่" เลยล่ะ 55+
สำหรับผม ไม่ต้องถามนะครับว่าผมมีปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า
บวชตั้ง 7 เดือน ยังไม่มีนารี นาเรออะไรมาตามให้สึกเลย
จนต้องสึกด้วยตัวเองเลยอ่ะ 55+



ขออนุโมทนาบุญกับนาคทุกท่านนะครับ


ติดตามซีรี่ส์ชุด "หนีตามสิริปัญโญ" ได้ที่นี่ คลิก 

พิธีกรรมภาคกลาง - พิธีบวชของชาวมอญ


ภาค     ภาคกลาง
จังหวัด  สมุทรสงคราม
  • ช่วงเวลา เมษายน-พฤษภาคม ก่อนเข้าพรรษา
  • ความสำคัญ
พิธีบวชของชาวมอญ เหมือนกับพิธีบวชของชาวไทยทั่วไปเพราะต่างนับถือพระพุทธศาสนาด้วยกัน งานจะแตกต่างกันบ้างในเรื่องความเชื่อ และประเพณีของแต่ละคนเท่านั้น
  • พิธีกรรม
ก่อนถึงวันบวช ๑ วัน พ่อแม่นาคจะตั้งศาลเพียงตา เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง สำหรับจัดงานที่วัดหรือที่บ้านซึ่งไม่มีศาลพระภูมิ หากบ้านใดมีศาลพระภูมิให้จัดไหว้ที่ศาลพระภูมิแทน การปลงผมนาค ชาวมอญจะใช้ผ้าขาวรอง ซึ่งเป็นผ้าขาวม้า หรือผ้าสะอาด ชนิดใดก็ได้ที่กว้างและยาวพอที่จะรองรับผมมิให้ตกลงพื้น นำผมทั้งหมดใส่กระทงไปวางไว้โคนต้นไม้หรือลอยน้ำไปเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ เจ้าของ ญาติผู้ใหญ่จะโกนผมกันเองในระหว่างญาติ และนิมนต์พระมาสวดมนต์เย็นและทำขวัญนาคในตอนหัวค่ำ ซึ่งชาวมอญบางบ้านก็มีการทำขวัญนาคและจัดงานฉลองคล้ายกับคนไทย
เมื่อนำนาคไปอุปสมบท จะมีเครื่องแห่เรียกว่า คานหามแห่นาค ซึ่งแต่ละคนจะประดิษฐ์เป็นรูปต่าง ๆ เช่น รูปม้า รูปเรือ รูปดอกบัว รูปราชสีห์ จะเป็นแบบใดก็ตาม จะต้องมีเก้าอี้วางอยู่ตรงกลางเพื่อให้นาคนั่งคนหามหลายคนก็จะยกคานขึ้นใส่ บ่า แล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงรอบอุโบสถจนครบสามรอบ
ก่อนเข้าอุโบสถ จะมีพิธีไหว้เสมา และโยนทาน การโยนทานนั้นจะต้องหยิบสตางค์จำนวนหนึ่งจากพานมาอมไว้ ที่เหลือโปรยทานไปก่อน เมื่อเงินในพานหมดแล้วจึงคายออกเพื่อแจกให้ญาติสนิทและผู้ใกล้ชิด ถึงตอนนี้คนก็จะแย่งกันชุลมุนอันตรายมาก บางทีล้มลงศีรษะแตกก็มี ส่วนเหรียญสุดท้ายที่นาคจะคาบไว้ในปาก ผู้เป็นมารดาจะต้องเอาปากไปคาบเหรียญนี้ออกจากปากนาค แล้วเก็บไว้เป็นเหรียญก้นถุง
ปัจจุบันการแห่แบบใช้คานหามและการโยนทานแบบอมเงินไว้ในปากมีน้อยลง เพราะเป็นการสิ้นเปลือง และมีอันตราย
  • สาระ
ชาวมอญส่วนใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงนิยมนำบุตรหลานมาบวชที่วัดศรัทธาธรรม ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เพราะพระภิกษุที่เป็นชาวมอญจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก และยึดถือขนบธรรมเนียมและประเพณีการบวชแบบชาวมอญอยู่อย่างเคร่งครัด

การบวชของภาคเหนือ

วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับประเพณีพื้นเมือง
ประเพณีปอยน้อย
     เป็นประเพณีบวช หรือการบรรพชาของชาวเหนือจะมีชื่อเรียกต่างกันในบางท้องถิ่น เช่น ปอยน้อย ปอย บวช ปอยลูกแก้ว ปอยส่างลอง นิยมจัดภายในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ซึ่งเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้ว ใน พิธีบวชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการแห่งลูกแก้วหรือผู้บวชที่จะแต่งตัวอย่างสวยงามแบบ กษัตริย์หรือเจ้าชาย เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบวชจนตรัสรู้
     การแห่นิยมให้ลูกแก้วขี่ม้าหรือขี่ขอคน มีการร้องรำกันอย่างสนุก สนาน ในงานนี้จะทำให้เด็กชายธรรมดากลายเป็น “ลูกแก้ว” หรือ“เด็กมีค่าเหมือนแก้ว” บางท้องถิ่นการบวชลูกแก้วเป็นการเปิด โอกาสให้ผู้ที่ไม่ใช่พ่อแม่หรือเครือญาติร่วมกันเป็นเจ้าภาพด้วย เพื่อ เป็นการแบ่งบุญและช่วยสนับสนุนค่าใช่จ่ายในการจัดงาน เจ้าภาพ จะเรียกว่า "พ่อออก หรือบิดาแห่งการจากไป" จากชีวิตทางโลก ของผู้บวช และผู้บวชจะปฏิบัติตนต่อพ่อออกเหมือนเป็นพ่อแม่จริงๆ พ่อออกและลูกแก้วจึงเกิดความผูกพันกัน กล่าวได้ว่าเป็นการสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างคนในสังคม
    ปัจจุบันประเพณีบวชลูกแก้วที่มีชื่อเสียงคือ ประเพณีบวชลูกแก้ว ที่จังหวัดแม่ฮองสอน เมื่อข้าวเหนียวสุก แล้วจะนำออกมาจากหวดมาผึ่งบนภาชนะที่เรียกว่า "กั๊ว หรือกระโบม" ซึ่งเป็นภาชนะที่คล้ายรูปกระจาดที่ ทำด้วยไม้ เพื่อให้ข้าวเหนียวไม่แฉะ และบรรจุข้าวเหนียวลงภาชนะจักสานที่เรียกว่า ก่องหรือกระติบ ในภาค อีสาน ทำให้ข้าวเหนียวอุ่นอยู่ได้นานจนถึงเวลารับประทาน

ประเพณีแห่นางแมว (ช่วงเวลา ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม)
      การประกอบอาชีพทางเกษตรในสมัยก่อนนั้น  ต้องพึ่งพาสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าปีไหนฝนดีข้าวกล้าในนาก็เจริญงอกงามดี  หากปีใดฝนแล้ง หรือฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนา
ก็จะเสียหาย ไม่มีน้ำจะทำนาชาวบ้านไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะช่วยได้ จึงพึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ นาๆ เป็นต้นว่า ทำพิธีขอฝนโดยการแห่นางแมว เชื่อกันว่าหากกระทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยให้ฝนตกลงมาได้

การบวชภาคใต้

ประเพณีการบวช การบวชถือเป็นสิ่งที่ช่วยอบรมสั่งสอน ให้เป็นคนดี ตลอดจนเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเพื่อให้พ่อแม่เป็นสุข และตัวผู้บวชเองก็จะได้มีโอกาสศึกษาธรรมวินัย สวดมนต์ภาวนาทำใจให้สงบ เป็นต้น การบวชจึงมี ๒ แบบ คือ
บรรพชา (บวชเณร)       
เด็กชายที่จะบวชเป็นสามเณรได้ จะต้องมีอายุตั้งแต่ ๗ ปีขึ้นไป สมัยก่อนการบวชเณรเป็นการฝากลูกให้พระดูแลอบรมสั่งสอน เพราะวัดเป็นเสมือนโรงเรียนหรือสถานที่สอนคนให้เป็นคนดี แต่สมัยนี้การบวชมักเป็นการบวชเพื่อแก้บน บวชหน้าศพ บวชเพื่อศึกษาธรรมวินัย
การอุปสมบท (บวชพระ) 
ชายที่จะบวชได้ต้องมีอายุครบ ๒๐ปีบริบูรณ์ การอุปสมบทเป็นประเพณีไทยที่มีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพราะชายที่มีอายุครบ ๒๐ปี เป็นวัยที่เข้าเขตผู้ใหญ่ ซึ่งจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตของตน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีความรู้ และเข้าใจภาวะผันแปรต่างๆ ที่มีอยู่ในชีวิต พระพุทธศาสนาเป็นหลักแห่งความจริงในโลก เพราะสอนให้ มนุษย์รู้สาเหตุของความทุกข์และความสุข ช่วยให้มนุษย์มีสติสัมปชัญญะที่จะนำไปสู่ในทางที่ดีที่ชอบ การอุปสมบทจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะต่อผู้ที่จะเป็นหลักของครอบครัว แม้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไป วัดไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการศึกษาดังแต่ก่อน เพราะมีสถาบันการศึกษา แทนวัด วัดจึงกลายความสำคัญ ในแง่การถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นทางการ การบวชพระจึงลดน้อยลงโดยเฉพาะในตัวเมือง แต่ในชนบทยังคงยึดถือเป็น
ประเพณีไทยที่ปฏิบัติอยู่ต่อไป
พีธีการบวช 
๑. ตอนเย็นก่อนบวชจะมีพิธีโกนผมนาค ณ โรงพิธีประชุมสงฆ์ นาคทั้งหลายจะรับศีล อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์พรมน้ำมนต์และสระผมนาค ผู้ที่โกนหัวอาจเป็นพระสงฆ์หรือพ่อแม่ จากนั้นญาติผู้ใหญ่จะโกนด้วยเล็กน้อย
๒. หลังจากนั้นอาบน้ำนาค เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนุ่งขาวห่มขาว เรียกว่า เจ้านาค หรือพ่อนาค
๓. กลางคืนจัดให้พี่พิธีสงฆ์เรียกว่า การสวดผ้า เจ้านาคต้องมีไตรจีวร และจะมีการทำขวัญนาคด้วยในคืนนี้
๔. จะมีการแห่นาคในวันบวชวันรุ่งขึ้น แห่รอบโบสถ์ ๓ รอบ เป็นการบูชาพระพุทธศาสนา
๕. เมื่อครบ ๓ รอบ นาคจะจุดธูปเทียน บูชาพัทธสีมา มีการกรวดน้ำ
๖. หลังจากนั้นญาติจะช่วยกันอุ้มนาคเข้าอุโบสถ ห้ามเหยียบธรณีประตู พ่อแม่นาคส่งไตรครองให้นาค เพื่อถวายพระอุปัชฌาย์ ถวายพระกรรมวาจาจารย์ ( พระคู่สวด ) และพระอนุสาวนาจารย์ ท่านละ ๓ กรวย จากนั้นกล่าวคำขอบรรพชา รับศีล ๑๐ พระอุปัชฌาย์คล้องบาตรสะพาย พระคู่สวดจะประกาศว่าผู้ชื่อนั้น ๆ ได้มาขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วตั้งคำถามเป็นข้อ ๆ เรียกว่า ขานนาค
๗. เมื่อขานนาคเสร็จ นาคขออุปสมบทต่อคณะสงฆ์ คณะสงฆ์กล่าว อนุศาสน์ ( ข้อควรปฏิบัติ และไม่ควรปฏิบัติขณะที่บวช)
๘. เมื่อจบอนุศาสน์ พระบวชใหม่ถวายของบูชาพระคุณแก่คณะสงฆ์ จากนั้นรับของถวายเครื่องไทยธรรมจากญาติ ขณะเดี๋ยวกันจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดา ญาติ เป็นอันเสร็จพิธี