วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นาคคือ

นาคคืออะไร?

หลังจากที่ผมกำหนดวันบวชกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปก็แค่เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ช่วงนี้ผมจะได้สมญานามใหม่ครับ คือ "นาคอุ๊ย"
"นาค" ในที่นี้ไม่ใช่นาคแบบสิงโตทะเลที่จะมาว่ายน้ำแล้วก็เอาปากเดาะบอลอะไรอย่างนั้นนะครับ
แต่ "นาค" คือคำเรียกชายหนุ่มที่กำลังจะบวชเป็นพระ แปลตามตัวว่าผู้ประเสริฐหรือผู้ที่ไม่ทำบาป
คำว่านาคนี่ก็มีที่มานะครับ
เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยพุทธกาลมีพญานาคตนหนึ่งที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์มาขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ไป ๆ มา ๆ มีพระภิกษุรูปหนึ่งไปรู้ความจริงเข้าจึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงสั่งให้พญานาคตนนั้นสึก
พญานาคตนนั้นเสียใจมากที่ไม่ได้บวช เลยขอไว้ว่าให้เรียกคนที่กำลังจะบวชว่า "นาค" 
จึงมีคำว่านาคมาจนถึงทุกวันนี้
จริง ๆ แล้วคนที่จะบวชได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้นนะครับ
ตอนพิธีบวช พระอุปัชฌาย์จะถามเราว่า "มนุสโส ซิ" แปลว่า "เธอเป็นคนรึเปล่า" (แบบเพลงของบุดด้าเบสน่ะ) 
เราก็ต้องตอบว่า "อามะ ภันเต" แปลว่า "เป็นครับ ท่าน"
ที่มาของคำว่านาคก็ประมาณนี้
ต่อไปก็จะเป็น 5 ขั้นตอนเตรียมตัวสู่ความเป็นนาค 



1. ท่องขานนาค

ขานนาคคือบทสวดเพื่อขออุปสมบท หน้าที่เราก็คือต้องท่องจำบทสวดนี้ให้ได้อย่างแม่นยำ เพื่อที่ว่าวันจริงจะได้ท่องได้โดยไม่อายญาติโยม
การบวชในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบบ (มั้งครับ)
แบบแรกเป็นแบบ "เอสาหัง" เหมือนของวัดที่ผมบวช ส่วนอีกแบบจะเป็นแบบ "อุกาสะ" ซึ่งเป็นของมหานิกาย 
บทสวดนี้ยาวเหมือนกัน ต้องใช้ความพยายามพอสมควรกว่าจะท่องได้
จำได้ว่าตอนนั้นผมก็ท่องแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนกัน ก่อนนอนผมท่อง 3 ครั้ง ตื่นมาท่องอีก สาย ๆ ท่องอีก ท่องมันทั้งวัน ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตามที่ได้ตั้งใจไว้
แม้ว่าบางวัดอาจไม่ได้เคร่งครัดว่านาคจะต้องท่องได้เป๊ะ ๆ แต่ผมว่าเราก็น่าจะท่องให้ได้นะครับ
งานบวชนี้เราก็เป็นพระเอกทั้งที (แถมไม่มีนางเอกหรือพระรองด้วย ฉายเดี่ยวอยู่คนเดียวเลยล่ะ) ทุกสายตาทั้งพระทั้งโยมต่างจ้องมองเราเป็นจุดเดียว
จะไปนั่งเอ่อ อ่า อ้ำ อึ้ง ตะกุกตะกักในโบสถ์ก็ดูไม่งาม
หรือจะไปติดสคริปหลังตาลปัตรก็ใช่ที่ ญาติโยมคงเสื่อมศรัทธากันตั้งแต่ยังไม่ได้ห่มผ้าเหลือง
ดังนั้นผมว่านาคควรเตรียมตัวดี ๆ
เกิดเป็นลูกผู้ชาย มีงานบวชแค่ครั้งเดียว ท่องให้คล่อง ๆ เอาให้เท่ ๆ เอาให้กรี๊ดกันทั้งอุโบสถเลยแล้วกันเนอะ



2. ตรวจร่างกาย + เซ็นใบสมัคร

การสมัครงานต้องมีการตรวจร่างกายและเซ็นใบสมัครฉันใด การสมัครบวชก็ต้องมีฉันนั้น
การตรวจร่างกายมีไว้เพื่อดูว่า เราเป็นโรคติดต่อร้ายแรงอะไรรึเปล่า
ไม่ใช่ว่านาคเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แล้วบวชเข้าไป คงติดไข้กันตั้งแต่เจ้าอาวาสยันเด็กวัด  
บาปเราอีก 55+
ส่วนที่ต้องมีใบสมัครก็เพราะว่าเราต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครองถึงจะบวชได้
พอเซ็นใบสมัครแล้ว เราก็เตรียมตัวย้ายมาอยู่กับวัดต้นสังกัดได้เลย (เฮ้ย ไม่ใช่ทีมฟุตบอล)



3. เตรียมเครื่องบวช

จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเครื่องบวชมากนัก เพราะว่ามีคุณป้าที่เชี่ยวชาญเรื่องงานบวชเป็นคนจัดให้หมดเลย
เท่าที่ผมเห็นก็จะมีพวกดอกไม้ ธูป เทียน มุ้ง หมอน เสื่อ ตาลปัตร พัดลม ผ้าเช็ดตัว จาน ช้อนส้อม 
แล้วก็มีพวกเครื่องอาบน้ำ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ ยาสระผม ครีมนวดผม?
ล้อเล่นครับ ครีมนวดผมไม่ต้องนะครับ มันไม่มีให้นวดหรอก 55+
แต่ยาสระผมก็ควรมี เพราะพระปลงผมเดือนละครั้ง (หรือสองครั้ง) ดังนั้นจะมีช่วงที่ผมเป็นแบบสกินเฮด ให้เราสระผมได้บ้าง 
อุปกรณ์ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมครับ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่สิ่งที่พระขาดไม่ได้จริง ๆ ก็คือเครื่อง "อัฏฐบริขาร" หรือ "เครื่องใช้ทั้ง 8"
ของทั้ง 8 อย่างนี้มีอะไรบ้าง?
ตอนเด็ก ๆ ผมเคยท่องว่า "ผ้า 4 เหล็ก 3 น้ำ 1" รวมกันเป็น 8
ผ้า 4 ได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง (ส่วนล่าง)) จีวร (ผ้าห่ม (ส่วนบน)) สังฆาฏิ (ผ้าพาดไหล่) และประคดเอว (เป็นคล้าย ๆ เข็มขัด ทำให้สบงรัดกุมขึ้น)
ผ้าทั้ง 4 นี้เป็นเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มของพระสงฆ์
ส่วนเหล็ก 3 ได้แก่ บาตร มีดโกน (ไว้ปลงผม) และเข็มเย็บผ้า (เผื่อสะดุดล้ม จีวรขาด)
น้ำ 1 คือ ที่กรองน้ำ (เป็นกรวย มีผ้าขาวบางไว้กรองน้ำด้านหนึ่ง)
ผมเองไม่เคยได้ใช้ที่กรองน้ำเลย เพราะสมัยนี้มีน้ำประปาหรือน้ำขวดที่ผ่านการกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นที่กรองน้ำนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำคัญเท่าไร
แต่สมัยก่อนพระอยู่ป่าอยู่เขาต้องฉันน้ำในแม่น้ำลำคลอง ดังนั้นจึงต้องกรองน้ำก่อนฉันทุกครั้งเพื่อกรองพวกสัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่ในน้ำออกไปก่อน ("กรองน้ำก่อนฉัน" นี่ผมหมายถึงกรองน้ำก่อนกินนะ ไม่ใช่ว่าเธอกรองน้ำก่อนฉัน ฉันกรองน้ำทีหลังเธออะไรอย่างนั้น - -")
เครื่องกรองน้ำนี่ไม่ต้องจริงจังอะไรมากนะครับ ไม่ต้องถึงกับไปซื้อเครื่องกรองน้ำแอมเวย์มาถวาย
มันเกินไปจริง ๆ 55+ 



4. ขอขมาลาโทษ

อีกภารกิจหนึ่งที่นาคพึงกระทำก่อนจะบวชนั่นก็คือการขอขมาลาโทษ
ช่วงนี้จะต้องทำตัวเหมือนพี่บี้เดินสายออกคอนเสิร์ต คือต้องออกเดินสายขอขมาลาบวชบรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เราอาจเคยล่วงเกินไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
บุคคลดังกล่าวได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย แฟนเก่า ฯลฯ (โดยเฉพาะแฟนเก่า ตัวหนักเลยล่ะ 55+)
ขอขมาให้เขาอโหสิกรรมสิ่งที่เราเคยล่วงเกินไว้ การบวชของเราจะได้บริสุทธิผุดผ่อง
ช่วงการกราบลาพ่อแม่จะเป็นช่วงเวลาดราม่ามาก ซึ้งยังกะดูซีรี่ส์เกาหลี ดังนั้นอย่าลืมจดจำช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้นะครับ เราจะรู้ว่าพ่อแม่รักเรามากแค่ไหน



5. ระวังมารผจญ

มีคำขู่ไว้แต่โบร่ำโบราณว่า "ก่อนบวชให้ระวังตัวไว้ให้ดี จะมีมารมาผจญ"
ก่อนบวช 3 วัน ผมต้องอยู่บ้านโดยไม่ได้ไปไหนเลยเพราะพ่อแม่กลัวมารมาผจญจัด
สำหรับผม ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็นมากกว่า
โอกาสของการเกิดอุบัติเหตุของช่วงก่อนบวช ก็น่าจะเท่า ๆ กับช่วงอื่นแหละ
แต่ส่วนใหญ่ ก่อนจะบวช นาคและผองเพื่อนมักจะไปเมาเหล้าทิ้งท้ายการเป็นฆราวาสกัน
พอไม่มีสติ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะมีมากขึ้น แค่นั้นเอง
ผมว่าไม่เกี่ยวกับก่อนบวชหรือหลังบวชหรอก อยู่ที่ว่าเรามีสติหรือไม่มีสติมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม "ไม่ประมาท" ดีที่สุดเนอะ
แล้วทราบมั้ยครับว่า "มารผจญ" ที่สำคัญของบรรดาพระใหม่คืออะไร
คำตอบคือ "ผู้หญิง" ครับ
ผมเห็นมาเยอะครับ เพื่อนพระที่ต้องสึกไปเพราะว่าสีกางอนหรือมาตื้อว่าให้สึกได้แล้ว อะไรประมาณนี้
ก่อนจะบวช ปรับความเข้าใจกับว่าที่สีกาดี ๆ นะครับ ว่าสึกเมื่อไร รอหน่อยได้มั้ย ฯลฯ
ไม่งั้นอาจจะมีพระอาจจะมีกิจ (งานเข้า)ได้
โบราณบอกไว้ว่า "สตรีคือศัตรู"
สมัยนี้คงต้องเรียกว่า "ผู้หญิงคือมารผจญตัวแม่" เลยล่ะ 55+
สำหรับผม ไม่ต้องถามนะครับว่าผมมีปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า
บวชตั้ง 7 เดือน ยังไม่มีนารี นาเรออะไรมาตามให้สึกเลย
จนต้องสึกด้วยตัวเองเลยอ่ะ 55+



ขออนุโมทนาบุญกับนาคทุกท่านนะครับ


ติดตามซีรี่ส์ชุด "หนีตามสิริปัญโญ" ได้ที่นี่ คลิก 

1 ความคิดเห็น: